เรียนรู้ ใช้ชีวิตแบบมีความสุขจาก ”สุภัทรา รามสูต” ผู้บริหารหญิงเก่งจากธุรกิจพลังงานไฟฟ้า
ในยุคที่ความเร็วและความท้าทายในการทำงานสูงขึ้น การหาสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การประสบความสำเร็จในอาชีพการงานไม่ได้หมายความว่าเราควรละเลยสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพราะการดูแลตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์และมีความสุขอย่างยั่งยืน
หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นในการสร้างสมดุลชีวิตคือ คุณสุภัทรา รามสูต ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทอีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด (Eaton) หญิงเก่งแห่งธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ที่มีประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศมากกว่า 15 ปี ที่ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ยังคงสามารถดูแลตัวเองและครอบครัวให้มีชีวิตที่สมดุลและมีความสุข
โดยเธอมีแนวคิดที่น่าสนใจในการบริหารชีวิตและงานที่สามารถนำมาปรับใช้กับทุกคนได้ การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแม้จะมีตำแหน่งที่สำคัญในธุรกิจพลังงานไฟฟ้า สุภัทรายังเชื่อมั่นว่า
”การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญในการเติบโต” และเธอเน้นว่าเวลาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มีความสำคัญไม่แพ้การทำงานที่หนักหน่วง ”เวลาว่างของฉันคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนในมหาวิทยาลัย หลักสูตรผู้บริหารต่างๆ หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับอาชีพและเทคโนโลยีใหม่ๆ
ซึ่งช่วยให้เราได้พัฒนาและก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” สุภัทรา มองว่า การไม่หยุดพัฒนาเป็นการสร้างความมั่นคงในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวไปพร้อมๆ กัน โดยปัจจุบันเธอกำลังจะสำเร็จหลักสูตรดุษฎีบัณฑิตด้านนวัตกรรมการจัดการ
พร้อมเคยเข้าศึกษาหลักสูตรสำคัญต่างๆในสายอาชีพของเธอ เช่น หลักสูตรผู้บริหาร EEP จากสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม และหลักสูตรการบริหารความมั่นคงสำหรับผู้บริหารระดับสูง จากสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เป็นต้น
การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
สุภัทราให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
”การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องหนักหน่วงทุกวันค่ะ แต่การรักษาความสมดุลในเรื่องการกินอาหารที่ดีและการออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีพลังในการทำงานอย่างเต็มที่”
เธอยังเล่าเพิ่มเติมว่า การนอนหลับที่เพียงพอและการฝึกสมาธิเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลจิตใจให้สงบ ”เมื่อร่างกายแข็งแรงแล้ว การฝึกสมาธิหรือการมีเวลาเงียบๆ จะช่วยให้เราคลายเครียดและมีสมาธิในการทำงานได้ดีขึ้นค่ะ”
การบริหารครอบครัวและงานอย่างมีประสิทธิภาพหนึ่งในความท้าทายที่สุภัทราต้องเผชิญในฐานะผู้บริหาร คือการบริหารทั้งชีวิตครอบครัวและงานในขณะเดียวกัน แต่เธอเชื่อว่าการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและครอบครัวนั้นสามารถทำได้หากมีการวางแผนและตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน
”สำหรับฉันแล้วการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและครอบครัวคือการจัดสรรเวลาให้เหมาะสม การทำงานหนักในบางช่วงก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าเราสามารถแบ่งเวลาให้กับครอบครัวได้ในช่วงเวลาที่สำคัญ เช่น การทานอาหารเย็นร่วมกันหรือการมีเวลาพักผ่อนร่วมกับสมาชิกในครอบครัว”
สุภัทรา ยังย้ำถึงความสำคัญของการให้เวลากับครอบครัวว่า บางครั้งชีวิตการทำงานก็อาจจะยุ่งเหยิง แต่สิ่งที่ทำให้เรามีพลังในการทำงานก็คือการได้พักผ่อนและมีช่วงเวลาคุณภาพกับคนที่เรารัก การแบ่งเวลาให้กับครอบครัวจึงไม่ใช่แค่การให้ความสำคัญ
แต่ยังเป็นการเติมพลังให้กับตัวเราเองเพื่อที่จะกลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ การใช้เวลาคุณภาพร่วมกับครอบครัวทำให้เธอสามารถปรับสมดุลในชีวิตได้ดีขึ้นและไม่สูญเสียความสัมพันธ์ที่สำคัญในชีวิต
การเล่นกอล์ฟและการผ่อนคลายจากชีวิตที่วุ่นวายอีกหนึ่งกิจกรรมที่สุภัทราชื่นชอบคือการเล่นกอล์ฟ ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นกิจกรรมเพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์และเครือข่ายธุรกิจใหม่ๆ
”การเล่นกอล์ฟช่วยให้ฉันได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและปล่อยใจไปกับสิ่งรอบข้าง การทำเช่นนี้ช่วยลดความเครียดจากงานได้เยอะเลยค่ะ”
กอล์ฟจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้เธอสามารถผ่อนคลายและเชื่อมโยงทั้งด้านธุรกิจและชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัว
การท่องเที่ยว เติมเต็มแรงบันดาลใจและเปิดมุมมองใหม่ ๆ สุภัทรายังมองว่า การท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเติมเต็มชีวิต
”การไปเยือนสถานที่ต่างๆ ช่วยให้เราเปิดมุมมองใหม่ๆ และได้เรียนรู้จากวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งช่วยเติมแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานได้ดีมาก”
การท่องเที่ยวไม่เพียงแต่ช่วยให้เราได้ผ่อนคลายจากความเครียด แต่ยังช่วยให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในงานและการบริหารชีวิตได้ สมดุลชีวิตที่ยั่งยืน คือ การใส่ใจทั้งงานและสุขภาพ
สิ่งที่สุภัทราเชื่อคือการประสบความสำเร็จในอาชีพไม่ได้หมายถึงการละเลยชีวิตส่วนตัวและสุขภาพ แต่คือการหาจุดสมดุลที่สามารถทำให้ทั้งสองด้านของชีวิตเติบโตไปพร้อมๆ กัน
”การมีสมดุลในชีวิตคือการจัดการเวลาให้เหมาะสมระหว่างการทำงาน การพักผ่อน การออกกำลังกาย และการดูแลตัวเอง” สุภัทราย้ำว่า ความสำเร็จในงานไม่สามารถเทียบกับความสุขที่เกิดจากการดูแลตัวเองและครอบครัวที่ดีได้
บทเรียนจากสุภัทรา: การสร้างสมดุลในทุกๆ ด้านของชีวิตแนวทางการสร้างสมดุลชีวิตจากสุภัทราคือการให้ความสำคัญกับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ ควบคู่ไปกับการทำงาน การหาทางออกที่ดีในการสร้างเวลาให้กับครอบครัว
การผ่อนคลายจากกิจกรรมที่ชื่นชอบ และการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเราสามารถจัดการทั้งด้านการทำงานและการดูแลตัวเองได้ดี ชีวิตเราจะเต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จที่ยั่งยืน
สุภัทราเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างสมดุลชีวิตที่สามารถปรับใช้ได้จริงในทุกๆ ด้าน ทั้งในเรื่องของการงาน สุขภาพ และการใช้ชีวิตส่วนตัว ทุกคนสามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความสุขในชีวิตได้อย่างยั่งยืน