สมุนไพรวังพรม สู้ศึก “ยาหม่อง” ทุ่ม150 ล้าน เปิดโรงงานใหม่ รองรับยอดโตทั้งตลาดไทย-เทศ
สมุนไพรวังพรม ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยมากว่า 30 ปี ประกาศเดินหน้ายกระดับศักยภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทุ่มงบลงทุนกว่า 150 ล้านบาท เปิด “โรงงานสมุนไพรวังพรมแห่งใหม่” เพื่อเป็นทั้งศูนย์กลางการผลิตและศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มประสิทธิภาพมาตรฐานระดับสากล โดยมีเป้าหมายในการส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดและผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศในอนาคต
โดยได้รับเกียรติจากคุณจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครปฐม เป็นประธานในพิธี และคุณประนอม วังพรม ประธานบริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด ทำพิธีตัดริบบิ้นเปิดโรงงาน พร้อมด้วยพันธมิตรธุรกิจ ได้แก่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) โดยคุณสุวรรณี ภู่นภานนท์ President of Healthcare & Specialties Business
ตลอดจนคู่ค้าจากประเทศเกาหลีใต้ ประเทศลาว รวมถึงคู่ค้าชาวไทยจากทั่วประเทศตบเท้าร่วมแสดงความยินดี ตอกย้ำความมุ่งมั่นตามแผนพันธกิจของบริษัทในการก้าวไปสู่การเป็นสินค้าแบรนด์ไทยที่สามารถครองใจคนทั่วโลก ตั้งเป้ากำลังการผลิตเพิ่ม 50% ดันสัดส่วนการขายต่างประเทศ 50% ส่งผลรายได้โต 500 ล้านบาท ในอีก 3 ปี
วัชรีภรณ์ วังพรม ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด กล่าวว่า สมุนไพรวังพรมได้รับการยอมรับจากลูกค้ารุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน กว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ธุรกิจของงีิษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยไลน์อัพสินค้าครอบคลุมหลากหลายกลุ่มทั้ง กลุ่มยาหม่องสมุนไพร กลุ่มน้ำมันนวดสมุนไพร กลุ่มยาดมสมุนไพร และยาแคปซูลสมุนไพร
เป้าหมายของบริษัทต้องการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงวางเป้าให้ผลิตภัณฑ์ของสมุนไพรวังพรมขึ้นแท่นเป็นยาสามัญประจำบ้าน ผลิตภัณฑ์ของบริษัท จึงต้องการรองรับมาตรฐานการส่งออก GMP/PICs ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาของประเทศในสหภาพยุโรป มาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตยาสามัญ ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ที่มีเป้าหมายปรับปรุงมาตรฐานการผลิตของผู้ผลิตยาแผนโบราณขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงผู้ผลิตที่ผลิตยาในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำในประเทศ จึงเป็นที่มาของการลงทุนเปิดโรงงานแห่งใหม่ ที่จะทำให้บริษัทฯ สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ นับเป็นการก้าวเข้าสู่ความสำเร็จอีกขั้นของสมุนไพรวังพรมในระดับสากล
ปัจจุบันสัดส่วนยอดจำหน่ายโดยรวมของสมุนไพรวังพรม มีกลุ่มยาหม่องสมุนไพรครองสัดส่วนอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะยาหม่องเสลดพังพอนและยาหม่องไพล ทั้ง 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ครองสัดส่วน 93% ของยอดขายสินค้าทั้งหมด อัตราการเติบโตของยอดขายกลุ่มสินค้ายาหม่องและน้ำมันนวดในปี 2566 ที่ผ่านมา คิดเป็น 12% จากปีก่อน และคาดว่าในปี 2567 จะสามารถทำยอดขายเติบโตขึ้นเป็น 15%
เนื่องจากมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้น สำหรับสัดส่วนการขายแบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 70% โดยเป็นยอดขายในเขตกรุงเทพฯ 40% และในต่างจังหวัด 60% ส่วนตลาดต่างประเทศมีสัดส่วนยอดขายที่ 30% ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี ในช่วงที่ผ่านมา จึงหันมามุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการส่งออกเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าจนได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ทำให้สามารถเปิดตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น ได้แก่ กลุ่มประเทศ CLMV เกาหลีใต้ จีน รัสเซีย ประเทศกลุ่มคาบสมุทรอาหรับ
ในปี 2567 บริษัทมีเป้าหมายในการขยายตลาดสู่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเพื่อรองรับความต้องการของสินค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจขยายโรงงานใหม่เพิ่ม โดยโรงงานแห่งใหม่ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ใช้งบ 150 ล้านบาท ถือเป็นการลงทุนใหญ่ในรอบ 20 ปี แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่
โซนที่ 1 เป็นพื้นที่ผลิตยา มีห้องแยกย่อยกว่า 40 ห้องเป็นระบบปิดทั้งหมดและเป็นห้องคลีนรูมติดเครื่องปรับอากาศทั้งหมดทุกห้อง ใช้มาตรฐาน GMP/PICs ในการผลิต รวมถึงใช้ระบบน้ำ RO (มาตรฐานเดียวกับน้ำดื่มขวด Pet ) ในการล้างภาชนะ ตลอดจนคำนึงถึงการประหยัดพลังงานโดยการติดตั้งโซล่าร์เซลล์ให้กำลังไฟกว่า 120 Kw ช่วยลดค่าไฟ ประหยัดพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอน และเสริมเครื่องจักรเต็มไลน์ผลิต
โซนที่ 2 โซนสำนักงาน ที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของทีมงานฝ่ายบริหาร มีห้องประชุม 2 ห้อง พื้นที่รับประทานอาหารภายใน
โซนที่ 3 คือโกดังเก็บสินค้า เพื่อสามารถควบคุมคุณภาพของสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำในช่วงระยะแรกคาดว่าโรงงานแห่งนี้จะมีกำลังในการผลิตสินค้าสมุนไพรได้เดือนละ 1 ล้านขวด จากเดิมที่เคยผลิตได้ปีละ 6.5 ล้านขวด คาดว่ากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้น 50% เพื่อรองรับตลาดในอีก 5 ปี
ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าสินค้าแบรนด์ไทยบ้านๆ ก็สามารถพัฒนาจนสามารถได้รับการยอมรับมาตรฐานระดับโลกได้ ซึ่งแบรนด์สมุนไพรวังพรม จะมุ่งมั่นพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์เป็นตัวอย่างสินค้าสมุนไพรไทยที่ผลิตด้วยมาตรฐานระดับสากล ซึ่งนอกจากทั้ง 3 โซนที่ได้รับการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ยังมีพื้นที่เหลือสำหรับพัฒนาเฟส 2 เป็นโรงงานเครื่องสำอางในอนาคตอีกด้วย
สำหรับทิศทางแนวโน้มการเติบโตของตลาดสมุนไพร ทางแบรนด์มองว่าตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลของกรมการแพทย์แผนไทยฯ คาดการณ์ในปี 2566 ที่ผ่านมาว่าตลาดสมุนไพรไทยจะมีมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า 50000 ล้านบาท
ขณะที่ Euromonitor คาดการณ์ว่า ในปี 2569 ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 59500 ล้านบาท
เนื่องจากคนยุคใหม่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติมากขึ้น รวมไปถึงชาวต่างชาติที่มีความชื่นชอบสมุนไพรไทยเป็นทุนเดิม สำหรับทิศทางตลาดในปี 2567 นี้คาดว่าคนทั่วโลกจะหันมาใช้ยาสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น
เพราะทิศทางตลาดอุตสาหกรรมยาทั่วโลกในปี 2567 มีแนวโน้มจะปรับราคายาขึ้นไปอย่างต่ำ 20% ส่งผลให้อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เป็นโอกาสดีที่จะยกระดับและผลักดันผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่มีมาตรฐานในระดับสากลให้กระจายออกสู่ตลาดโลกมากขึ้น
บริษัทเชื่อมั่นอย่างยิ่งด้วยทิศทางของตลาดที่มีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับจุดแข็งของสมุนไพรวังพรมที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเสมอมา โดยเฉพาะยาหม่องที่ลูกค้าชอบใช้ในการนวดด้วยสูตรเฉพาะตัวทำให้นวดได้ลื่นโดยไม่ร้อนแสบผิวแต่เย็นสบายและหายเมื่อย ลูกค้าที่ทำงานในไร่นาหรืองานกลางแจ้งที่ร้อนและฝุ่นเยอะ ยังใช้ยาหม่องของเราทาช่วยเรื่องผดผื่นและคลายร้อนด้วย อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของยาหม่องของเราคือกลิ่นที่ไม่มีใครเหมือน
แม้จะมีสินค้าเลียนแบบที่พยายามทำแพคเกจจิ้งให้คล้ายกัน แต่ลูกค้าที่ใช้ประจำจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่สมุนไพรวังพรม ซึ่งเราพยายามพัฒนาปรับดีไซน์แพคเกจจิ้งให้โดดเด่นด้วยสีเขียวเข้มสไตล์วังพรมกับสินค้าทุกประเภทของเรา
ขณะเดียวกันในปี 2567 บริษัทยังมีแผนพัฒนาออกสูตรใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้าเจาะเข้าถึงหลากหลายกลุ่มทั้ง กลุ่มคนรักสุขภาพ-ออกกำลังกาย กลุ่มผู้สูงอายุ Boomer กลุ่มเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน กลุ่ม Gen XY และเริ่มขยายเข้ากลุ่ม Gen Z โดยเฉพาะ First jobber มากขึ้น
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มีความมั่นใจว่าเป้าหมายรายได้ปีนี้จะแตะระดับ 350 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 15% ด้วยปัจจัยสนับสนุนสำคัญนอกเหนือจากการที่บริษัทมุ่งเน้นการผลิตสินค้าคุณภาพ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการพัฒนาสูตรใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการผลิตเข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้า ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังเน้นพัฒนาช่องทางการขายและปูพรมกิจกรรมทางการตลาดเต็มรูปแบบให้การขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น
ปัจจุบันช่องทางการจัดจำหน่ายของสมุนไพรวังพรม มีจำหน่ายที่ 7-11 ร้านขายยาโมเดิร์นเทรด Boots Pure Save drug Lab Pharmacy Fascino Lotus Makro Tops care และรวมไปถึงร้านขายยาทั่วไปทั่วประเทศ รวมไปถึงแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Shoppee Lazada LineOA และอีคอมเมิร์ซของบริษัททุกช่องทาง ส่วนลูกค้าไทยในต่างประเทศจะซื้อจาก Amazon รวมไปถึง Asian groceries ในท้องถิ่นต่างๆ และร้านนวดไทยในต่างแดน
ร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์สมุนไพรคุณภาพฝีมือคนไทย “สมุนไพรวังพรม” ได้ที่
https://wangpromherb.com/ Tiktok : https://www.tiktok.com/@wangpromherb/ และ Line Ad ของบริษัทฯ