สกสว. เปิดตัว “Thailand Open Science for ALL” โลกนวัตกรรม วิทยาการแบบเปิด ร่วมสร้างอนาคตไทย
สกสว. ขับเคลื่อน “Thailand Open Science for ALL” ภายใต้แนวคิด เปิดโลกนวัตกรรม เปิดรับวิทยาการ ร่วมสร้างอนาคตไทย งานวิจัยต้องเดินทางถึงมือประชาชน ความรู้ต้องกลายเป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตของคนไทยทุกคนได้จริง และพัฒนาระบบ ววน. ของประเทศให้เปิดกว้าง โปร่งใส และมีส่วนร่วม ทุกภาคส่วนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และนวัตกรรมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) จัดการประชุม TSRI Policy Advocacy Series ครั้งที่ 5 “Thailand Open Science for ALL” เพื่อผลักดันนโยบายสำคัญการพัฒนาประเทศด้วยระบบ ววน.
ผ่านการประกาศเจตนารมณ์ของ สกสว.ในการขับเคลื่อน “Thailand Open Science” ให้เป็นกรอบยุทธศาสตร์ระดับชาติที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนของระบบ ววน. เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า เวทีนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ทุกคนจะร่วมกันสร้างระบบ ววน. ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “เปิดโลกนวัตกรรม เปิดรับวิทยาการ ร่วมสร้างอนาคตไทย” โดยขับเคลื่อน Open Science ของประเทศที่ครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้ก้าวข้ามจากระดับแนวคิดสู่การปฏิบัติจริง รวมถึงสร้างสังคมแห่งปัญญา
สกสว. มุ่งผลักดันให้ Open Science เป็นระบบที่เปิดกว้าง โปร่งใส และร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อให้ความรู้จากงานวิจัยเข้าถึงคนทุกระดับ กลายเป็นพลังในการพัฒนาชีวิตและเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้น
ด้าน ศ.เกียรติคุณ ดร. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) กล่าวว่า หลักการของ Open Science คือ 1.ต้องพิจารณาว่าจะเปิดกว้างอย่างไร ประชาชนควรมีสิทธิกำหนดโจทย์และกระบวนการด้วย
2.วิทยาศาสตร์ไม่ควรอยู่ในกลุ่มนักวิจัยเท่านั้น
แต่ควรดำเนินการแบบสหวิทยาการ เช่น เอกชนและประชาชนเข้ามาทำ Citizen Researchers และเปิดให้นานาชาติเข้ามาร่วมดำเนินการ
3. Open Journal ต้องให้ประชาชนเข้าถึงผลการวิจัยและองค์ความรู้
4.การใช้ประโยชน์จากข้อมูล ทำอย่างไรประชาชนถึงเอาไปใช้ได้ ดังนั้นจึงต้องเร่งขับเคลื่อนและเชิญชวนให้ทุกฝ่ายมาร่วมกันทำงาน เปิดข้อมูลให้กับทุกคน และทุกคนมีสิทธิที่จะใช้ได้
การเปลี่ยนวัฒนธรรมความรู้ของสังคม ไม่ใช่แค่การเปิดเผยข้อมูล แต่คือการกำหนดโจทย์สำคัญ ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลายเป็นของทุกคนและเพื่อทุกคน โดยคืนกลับสู่ประชาชนในรูปของโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การหารือในวันนี้จะนำไปสู่ข้อเสนอนโยบายที่ดีและนำเสนอต่อที่ประชุม Global Research Council (GRC) ปี 2569 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะมีหัวข้อเรื่อง Open Science and Sustainable Research โดยงานดังกล่าวจะมีผู้บริหารจากทั่วโลกเข้ามาประชุมด้วย และข้อมูลอยู่ในรายงานของธนาคารโลกด้วยเช่นกัน
ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ในฐานะกรรมการติดตามและประเมินผลการสนับสนุนวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม ระบุว่า เหตุผลที่ต้องส่งเสริมวิทยาการแบบเปิดมากขึ้น คือ 1.โลกวิทยาการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จึงจำเป็นต้องเผยแพร่ความรู้ให้รวดเร็วและกว้างขวางกว่าเดิม
2.เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การเผยแพร่ความรู้ทำได้อย่างรวดเร็วและเข้าถึงคนจำนวนมาก
3.หลักจริยธรรมสากลการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารถือเป็นหลักการที่ยอมรับกันทั่วโลก
4.ประเทศกำลังพัฒนาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น และช่วยลดความเหลื่อมล้ำ
5.ความร่วมมือระดับโลกของประเทศที่พัฒนาแล้วต้องการข้อมูลจากทั่วโลกเช่นกัน เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งโรคระบาดใหม่ ๆ ซึ่งมักมาจากประเทศกำลังพัฒนา เราจึงต้องเปิดเผยความรู้ให้แพร่กระจายได้อย่างกว้างขวางและทันท่วงที เพื่อให้เกิดการต่อยอดอย่างมีประสิทธิภาพ วิทยาการแบบเปิด จึงเป็นแนวทางสำคัญของโลกยุคใหม่อย่างแท้จริง
สำหรับการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ “Open Science in Action: ก้าวสู่อนาคตไทย” ประกอบด้วย คุณนครินทร์ วนกิจไพบูลย์-ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด, คุณเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง-อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ, ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ-ผู้พัฒนาระบบฐานข้อมูลวารสารไทย
ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ กรรมการ National Al Committee และ ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) ผู้ร่วมเสวนาต่างมองว่าองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยมีอยู่มากในประเทศไทย
โจทย์คือการสร้างความต้องการในการบริโภคข้อมูลวิทยาศาสตร์และวิทยาการแบบเปิด จึงควรมีแพลตฟอร์ม Thailand Open Science for All ที่ทั้งประชาชนทั่วไป สื่อมวลชน สามารถเข้าถึงข้อมูลงานวิจัยได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบันสังคมไทยคิดแบบวิทยาศาสตร์น้อยไป ทำให้ฐานคิดของประชาชนและผู้กำหนดนโยบายยังพึ่งพาความเชื่อและอคติมากกว่าข้อมูลเชิงประจักษ์ ควรสร้างวัฒนธรรมใหม่ เช่น สื่อวิทยาศาสตร์ที่สนุกและเปิดกว้าง ข่าววิทยาศาสตร์ขึ้นหน้าแรกเหมือนต่างประเทศ และกระตุ้นให้คนค้นหาความรู้เป็นกิจวัตร
ทั้งนี้ โครงสร้างพื้นฐาน Big Data Platform ถูกออกแบบให้สร้าง “ถนนเชื่อม” ให้ข้อมูลไหลจากแหล่งต้นทางเมื่อมีคำสั่ง โดยกุญแจยังอยู่ที่เจ้าของข้อมูลเดิม และข้อมูลดิบถูกลบทิ้งหลังวิเคราะห์ เปิดให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการใช้ต่อยอดฟรี ลดอุปสรรคด้านค่าลิขสิทธิ์ ทำให้ข้อมูลและเครื่องมือกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมของประเทศ
ขณะที่ระบบฐานข้อมูลงานวิจัยไทยและบทบาทของ TCI โจทย์ใหญ่ของโครงการที่ได้รับทุนจาก กองทุน ววน. คือ ทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงองค์ความรู้งานวิจัยไทย 500,000 บทความ ด้วย “ภาษาธรรมชาติ” ผ่าน AI / NLP เพื่อให้เกิดวิทยาศาสตร์พลเมือง (citizen science) อย่างแท้จริง อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของ Open Science หรือวิทยาการแบบเปิด
ที่ไม่ใช่แค่ความสำเร็จทางเทคโนโลยี แต่คือการสร้างสังคมที่เข้มแข็งขึ้นผ่านการพัฒนาศักยภาพให้กับประชาชนด้วยความรู้และทุกคนมีสิทธิเข้าถึง ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่สร้างประโยชน์ให้ประชาชนได้จริง